ประวัติส่วนตัวของ พระทา ยสฺชาโต

  • WELLCOME TO MY WEBSITE
    13 ปีที่ผ่านมา

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รื่องล่าสุด
  • กลอนวันแม่ภาษาอังกฤษ
  • กลอนวันแม่ 12 สิงหาคม
  • “มาลัยอักษรา” บูชาแม่
  • อุ่นไอรัก…จากแม่
  • แม่…หญิงยอดคน
  • ของขวัญจากลูก
  • พระคุณแม่
  • กลอนวันแม่สั้นๆ
  • แม่จ๋า
  • พระคุณแม่รีมิก
  • กลอนวันแม่
  • …วันเกิดวันเจ็บ…
  • สองมือนั้น
  • ใกล้วันแม่
  • วันแม่
  • หมวดหมู่รื่องล่าสุดกลอนวันแม่ภาษาอังกฤษ

  • เขียนโดย CALL CENTER 080-4785304 ที่ 06:39
    ส่งอีเมลข้อมูลนี้BlogThis!แชร์ไปยัง Xแชร์ไปที่ Facebookแชร์ใน Pinterest

    ไม่มีความคิดเห็น:

    แสดงความคิดเห็น

    บทความใหม่กว่า บทความที่เก่ากว่า หน้าแรก
    สมัครสมาชิก: ส่งความคิดเห็น (Atom)


    การเข้าบวชในพระพุทธศาสนา

    นาย ทา ดุย ได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาเมื่อปีค.ศ2000 ที่ประเทศกัมพูชา โดยการอนุญาติจากผู้มีพระคุณทั้งสองแล้ว ก็อุปสมบทที่วัด โสอุดม ต.กำพงโพ อ.กรอโก้ จโพธิสัตว์ จากพระอุปัชาชื่อ หยึกยืง วัดบุพพาสุวรรค์ ต.กบาลกร้าจ อ.กรอโก จ.โพธิสัตว์



    ประวัติส่วนตัวของ พระทา

    ชื่อ พระทา ยสฺชาโต นามสกุล ดุย บ้านเกิดที่ประเทศกัมพูชา ชาว เขมร ศาสนาพุทธบ้านที่อยู่ ชื่อหมูบ้านโพ้งอังกรอง ต.กัมพงโพ อ.กรอโก้ จ.โพธิสาต อาชีพพ่อและแม่ ชาวนาพ่อชื่อนายเดือน แม่ชื่อนางพัดมีพี่น้องรัวกัน 6 คนผู้ชาย3คน ผู้หญิ่ง3คน1.นาย ทา ดุย2.นาย ที ดุย3.นาย ดาน ดุย 4.นาง สุเภีย ดุย5.นาง กะอุณ ดุย5 เด็กหญิ่ง จา เว็ด ดุย นายทาเป็นคนโตเกิด เมือวันที่11 เดือนเมษายน พ.ศ2524ได้เข้ามาบัวชในพระพุทธศาสนาเมือวันที่11เดือน เมษายน ค.ศ 2000มีอายุ29ปี พรรษา 9 วุฒธิ์การศึกษา จบ นักธรรม ตรี โท เอกที่ประเทศไทย์ ทุกวันนี้กำหลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชชวิทยาลย เขตรสุรินทร์ กำหลังษาอยู่ชั้นปีที่1 /2553 วิชาเอก หลักสูตรและการสอน Englishทุกวันนี้พักอาศัยอยู่ที่ วัดท่าสว่าง ต.กระสัง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ หลวงพ่อพระครูอมรธรรมนิเทศก์ เจ้าอาวาสวัดท่าสว่าง สนใจติดต่อได้ โทร 0804785304ผู้ที่สนใจในพระธรรมคำสังสอนของพระศาสดา วันที่2 /10 /2553 จากวัดท่าสว่าง กระสัง บุรีรัมย์

    เกี่ยวกับฉัน

    รูปภาพของฉัน
    CALL CENTER 080-4785304
    Thummarong_artrooM
    ดูโปรไฟล์ทั้งหมดของฉัน

    คลังบทความของบล็อก

    • ►  2012 (2)
      • ►  กรกฎาคม (1)
      • ►  มีนาคม (1)
    • ▼  2010 (5)
      • ▼  ธันวาคม (4)
        • รื่องล่าสุด กลอนวันแม่ภาษาอังกฤษ กลอนวันแม่ 12 สิ...
        • วิดีโอสำหรับ แม่ แม่ - Bodyslam feat.พงษ์สิทธิ์
        • ไม่มีชื่อ
        • ไม่มีชื่อ
      • ►  พฤศจิกายน (1)

    พระคุณแม่

    พระคุณแม่ยิ่งใหญ่หาใดเทียบมิอาจเปรียบแม้ภูผาชลาสินธุ์น้ำนมที่กลั่นให้ลูกได้ดื่มกินลูกถวิลถึงคุณค่าว่าอนันต์แม่เหน็ดเหนื่อยเริ่มแต่แม่ตั้งท้องเฝ้าประคองทั้งดวงใจไม่เหหันทำทุกอย่างเพื่อลูกยาสารพันแม้คืนวันผันผ่านนานนับปีตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ได้เรียนรู้แม่เฝ้าดูอยู่ข้างกายไม่หน่ายหนีอยากเห็นลูกสุขสบายในชีวีเป็นคนดีที่สังคมนั้นชมเชยเหงื่อท่วมกายไม่เคยท้อแม้อ่อนล้าหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินแม่เมินเฉยลูกซาบซึ้งในบุญคุณมิลืมเลยขอชดเชยแทนทดจนหมดใจ…..


    พระคุณแม


    ใกล้ถึงวันแม่แห่งชาติ ก็ขอถือโอกาสนำเรื่องพระคุณของแม่ ในบางแง่บางมุมมาฝากพวกเรา ซึ่งหลายท่านที่นั่งอยู่ในที่นี้ ต้องทำหน้าที่ทั้ง ๒ อย่างควบคู่กันไป คือทำหน้าที่เป็นลูกที่ดี พร้อมกันนั้น ก็ต้องมาทำหน้าที่เป็นแม่ที่ดีไปพร้อมๆ กันด้วย พระคุณของแม่ และแน่นอนรวมทั้งพระคุณของพ่อด้วย ในแง่มุมต่างๆ นั้น มีอยู่มากมาย จนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและโบราณจารย์ต่างๆ ถึงกับสรุปออกมาว่า พระคุณของพ่อแม่มีมากจนกระทั่งว่า ถ้าจะเอาแผ่นฟ้ามาแทนกระดาษ เอาน้ำในมหาสมุทรมาแทนน้ำหมึก เอาเขาพระสุเมรุ ที่ถือว่าเป็นภูเขาที่ใหญ่ที่สุด มาแทนปากกา แล้วบรรจงเขียนพรรณนา พระคุณของพ่อ พระคุณของแม่ จนกระทั่งตัวอักษรเต็มผืนฟ้า น้ำทะเลหมดมหาสมุทร เขาพระสุเมรุทั้งลูกก็สึกราบเรียบไปหมด แม้กระนั้นก็ยังพรรณนาพระคุณของท่านไม่จบเลย คำอุปมานี้บางท่านอาจจะมีความรู้สึกว่า มากเกินไปหรือเปล่า ซึ่งจะว่ามากไปก็มีส่วนถูก จะว่าน้อยไปก็มีส่วนถูก เพราะขึ้นอยู่กับว่าคนๆ นั้น เป็นใคร เพราะอย่าว่าแต่แผ่นฟ้า ทั้งผืนเลย แค่กระดาษชิ้นเท่าฝ่ามือ ถ้าให้คนบ้าเขียนพรรณนาพระคุณแม่ เขาคงเขียนไม่ได้ หรือถ้าเขียนได้ ก็คงเขียนไม่เต็มกระดาษแผ่นนั้น ในเวลาเดียวกัน สำหรับผู้ที่เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ โดยเฉพาะเป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ ทั้งทางโลกและทางธรรม แผ่นฟ้าทั้งผืนก็ไม่พอที่จะเขียนพรรณนาพระคุณของแม่จริงๆ
    เพราะฉะนั้น วันนี้หลวงพ่อจะกล่าวถึงพระคุณแม่โดยย่อๆ เพื่อให้พวกเราได้ทราบว่า พระคุณแม่นั้นมีมากมายอย่างไร
    ๑. ท่านให้กำเนิดเรามา พอพูดอย่างนี้ หลายคนอาจจะเถียงว่า แล้วถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อนล่ะ ถ้าแม่ทำแท้งเสียก่อน เอ็งก็ไม่ได้มานั่งฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่อย่างนี้หรอก ๒. ท่านให้รูปร่างที่เป็นคนแก่เรา ภาษาพระใช้คำว่า แม่ให้โลกนี้แก่เรา ซึ่งฟังแล้วเราอาจ จะไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะคำว่า "โลก" ที่เราเข้าใจโดยทั่วไปนั้น หมายถึงโลกที่เราอยู่ แต่ว่าในความหมาย ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในความหมายทางธรรม ไม่ใช่เพียงแค่นั้น
    พระสารีบุตรท่านเคยให้คำจำกัดความเอาไว้ว่า สิ่งที่ยังฉิบหายได้เรียกว่า โลก แล้วท่านก็ให้ความหมายของคำว่า "โลก" เอาไว้โดยย่อมีอยู่ ๓ ประการ คือ ๑. โลก หมายถึง สังขารโลก คือ ร่างกายและจิตใจของคนเรา สังขารโลกของใครก็ของคนนั้น ๒. โลก หมายถึง สัตวโลก คือ ยกเว้นตัวเราแล้ว สิ่งมีชีวิตนอกนั้นเป็นสัตวโลกทั้งหมด ๓. โลก หมายถึง โอกาสโลก คือ ช่องว่างให้สัตวโลกได้อยู่อาศัย โลกทั้งโลกที่เราอยู่ก็เป็น โอกาสโลกของมนุษย์ สวรรค์กี่ชั้นๆ ก็เป็น โอกาสโลกของเทวดา และนรกก็เป็น โอกาสโลกของสัตว์นรก เพราะฉะนั้น พระคุณแม่ในข้อที่ให้โลกนี้แก่เรา คือ ประการที่ ๑ ท่านให้ร่างกายพร้อมด้วยจิตใจกับเรา ประการที่ ๒ ท่านทำหน้าที่เสมือนเป็นตัวแทนของสัตวโลกทั้งโลกนั่นแหละ คือ สอนให้เรารู้จักคน รวมทั้งสัตว์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในโลกนี้ ไปตามลำดับๆ ประการที่ ๓ ท่านสอนให้เรารู้จักกับโอกาสโลก คือ แผ่นดิน แผ่นฟ้า แผ่นน้ำ ที่เราได้อยู่อาศัย เพราะฉะนั้น พระคุณแม่เอาจริงๆ เข้าแล้ว มีตั้งแต่ให้โอกาสเรามีชีวิตจนกระทั่งออกมาดูโลก ให้รูปร่างที่เป็นคน แล้วก็หาพื้นที่บนโลกอย่างพอเหมาะพอสม ให้เราได้อยู่อาศัยอย่างมีความสุข ส่วนคำว่า "สังขารโลก" คือ ร่างกายและจิตใจ หรือพูดง่ายๆ ว่า คือตัวเรา ถ้าพูดในเชิงธรรมะ ต้องบอกว่า ตัวเรานี้ ไม่ว่าจะเป็นหญิง ไม่ว่าจะเป็นชาย จะสูงต่ำดำขาว จะโง่หรือฉลาด ก็ตาม ล้วนมีที่มา คือ กรรมดี กรรมชั่ว ที่สร้างข้ามภพข้ามชาติมานั่นเอง แต่ถ้าพอเหมาะพอดีแก่กรรมของเราแล้ว แม่ไม่ให้ยืมท้องเกิด ต้องไปอาศัยท้องของคนอื่นเกิด นี่ยุ่งเลย เพราะของอาศัยจะให้ดีเท่าของจริงนั้น เป็นเรื่องยาก ยิ่งไปอาศัยท้องแม่ที่ไม่ได้เป็นคนล่ะก็ แย่เลย เพราะฉะนั้น แค่แม่ให้อาศัยท้องเกิด ให้มีรูปร่างที่เป็นคน แล้วก็มีคุณภาพขนาดนี้ พระคุณของท่านไม่ต้องพูดกัน ว่าจะมากมายขนาดไหน แม้ว่าบางคนเมื่อคลอดออกมาแล้ว อาจจะไม่หล่อ อาจจะไม่สวย หรืออาจจะพิกลพิการ บางส่วนไปบ้าง ก็อย่าเพิ่งน้อยใจ อย่าไปตัดพ้อต่อว่าใคร ถ้าจะโทษก็โทษตัวเองดีกว่า ว่าเราสร้างความดี มาไม่พอ เราทำกรรมมาไม่ดีเอง เราถึงได้เป็นอย่างนี้ และไม่ต้องพิกลพิการไปมากกว่านี้ก็ดีแล้ว
    ยกตัวอย่างแม้ตาจะบอดไปสักข้าง หรือขาจะเป๋ไปบ้าง ก็ก้มหน้ารับกรรม ที่เราเคยทำมาเถอะ ได้เกิดเป็นคนก็ดีแล้ว เพราะถึงอย่างไรก็ยัง มีโอกาสสร้างความดี นี่ถ้าไปเกิดเป็นสุนัขล่ะก็ สร้างความดี อย่างนี้ไม่ได้หรอก แต่ไม่ว่าจะมีสภาพอย่างไร เมื่อคลอดออกมาแล้ว แม่ก็เลี้ยงด้วยความเต็มอกเต็มใจ คอยประคบประหงม มาอย่างดี ไม่ได้มีความรังเกียจเดียดฉันท์เลย เลี้ยงอย่างสุดฝีมือ เต็มกำลัง ของท่านทีเดียว ความจริงเวลาที่ คลอดออกมาใหม่ๆ นั้น ตัวของเราแดง อย่างกับลูกนกอนาคต จะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ จะมีเชื้อพิการ หรือจะมีเชื้อโรคร้ายอยู่ในตัวบ้างหรือเปล่า ก็ไม่รู้ แต่ว่าแม่ก็ยัง สู้อุตส่าห์เลี้ยงดูมาอย่างดี เหนื่อยแทบตายก็เลี้ยง เสี่ยงเท่าไหร่ก็เลี้ยง ทั้งที่เราก็ไม่เคยรับปาก เลยว่า พอโตขึ้นมาจะทำ อะไรให้ท่านบ้าง สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยทำให้ท่าน
    ในขณะที่เราจะทำอะไรให้ใครสักอย่าง แค่จะให้เขายืมเงินสัก ๑,๐๐๐ บาท ๑๐,๐๐๐ บาท ยังต้องให้เขาทำสัญญาเสียก่อน แต่แม่เลี้ยงเรามาไม่รู้หมดเงินไปเท่าไหร่ สัญญาสักฉบับก็ไม่เคยมี ถามว่าท่านโง่หรือ ท่านไม่ได้โง่หรอก แต่เพราะท่านมีความเมตตากรุณากับเราอย่างท่วมท้นนั่นเอง ท่านจึงเลี้ยงเรามา เพราะฉะนั้น ถ้าใครเคยคิดตัดพ้อต่อว่าคุณแม่ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร แม้สักนิดหนึ่งก็ตาม วันแม่แห่งชาติที่จะถึงนี้ รีบไปกราบขอโทษท่าน หรือไม่ต้องรอจนถึงวันแม่แห่งชาติก็ได้ คืนนี้ไปกราบ ขอโทษท่านเสียดีๆ ส่วนผู้ที่คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว ก็กลับไปจุดธูปจุดเทียนไว้ให้ดี แล้วคืนนี้นั่งสมาธิส่งบุญกุศล ไปให้ท่านเยอะๆ
    แล้วรูปร่าง ที่เป็นมนุษย์ ที่แม่ให้มานี้ดีอย่างไร ร่างกายมนุษย์เมื่อ เทียบกับร่างกายเสือ ร่างกายช้าง ถ้าพูดถึงความแข็งแกร่ง ความแข็งแรง ก็สู้เสือ สู้ช้าง ไม่ได้ แต่ถึงกระนั้น ร่างกายมนุษย์นี้ ก็เหมาะในการ ที่จะทำความดีได้ ทุกรูปแบบ ซึ่งสัตวโลก ชนิดอื่นทำไม่ได้ ยกตัวอย่าง เสือ ช้าง จะแข็งแรงแค่ไหนก็ตาม มันก็ได้แต่แข็งแรงเท่านั้น จะเอาไปประกอบ คุณงาม ความดีอะไรก็ไม่ได้ แค่จะเอาอาหารไปฝาก แม่ของมันสักมื้อ ก็ยากแล้ว แต่มนุษย์ทำได้ และทำได้ดีเสียด้วย
    เพราะฉะนั้น รูปร่างของคนเรานี้ ถ้าเปรียบเป็นโรงงาน ก็เป็นโรงงานชนิด ที่สามารถผลิตความดี ได้อย่างมี ประสิทธิภาพสูงสุด กว่าบรรดาโรงงานทั้งหลาย
    ร่างกายที่มีประสิทธิภาพอย่างนี้ เราได้มาจากแม่ แม่ให้โรงงานนี้แก่เรา ไม่ใช่คนอื่นให้ และไม่ใช่เทวดาเสกมาให้ด้วย พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ สังขารโลกของเรา มีคุณตรงที่ว่า สามารถเอามา ประกอบคุณงามความดีได้สารพัด
    แต่ว่าถ้าแม่ไม่ได้อบรม ไม่ได้สั่งสอน ไม่ได้ปลูกฝังให้เราทำแต่ความดีเรื่อยมาแล้ว เราก็อาจจะเอาสังขารโลกที่ได้มา ไปใช้ในทางที่เสื่อมเสีย หรือเอาไปใช้ถล่มทลายเหมือนอย่างกับหลายๆ คนในโลกนี้ ที่เขาถล่มทลายสังขารโลกของเขา ให้เราดู
    ยกตัวอย่าง ที่เราต้องมาเป็นกัลยาณมิตรให้กับเขา ต้องมาต่อสู้ ต้องมารณรงค์กันทุกวันนี้ ก็เนื่องจากเห็นเขากำลังทำลายสังขารโลกของตัวเอง ด้วยการดื่มเหล้าบ้าง ด้วยการสูบบุหรี่บ้าง เราก็เลย ต้องมา เทเหล้าเผาบุหรี่ช่วยเขาอยู่นี่ ซึ่งถ้าไม่ได้คุณแม่ปูพื้นฐานมาให้ตั้งแต่ต้น เราก็คงจะมอง ไม่ออกเหมือนกัน
    เมื่อเป็นอย่างนี้ ต้นทางแห่งความดีทั้งหลายของเรา จึงเริ่มต้นมาจากแม่ทั้งนั้น อย่านึกว่า ตัวเองเก่งไป แค่ท่านจับโยนลงถังขยะ หรือไม่ยอมให้เกิดในท้องของท่านล่ะก็ ไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้กันหรอก
    เพราะฉะนั้น พระคุณของแม่ที่อุปมาว่า พรรณนาจนกระทั่ง แผ่นฟ้าเต็มไปด้วยตัวอักษร น้ำในมหาสมุทรที่เอา มาแทนน้ำหมึก ก็เหือดแห้งไป และเขาพระสุเมรุ ที่เอามาใช้เป็นปากกา ก็สึกไปจนหมดนั้น ท่านหมายถึง แม่ประเภทที่ นอกจากให้ชีวิต ให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังให้การอบรมสั่งสอน ให้ลูกเป็นคนดีทั้งทางโลกและทางธรรม จนกระทั่งลูกสามารถ เข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ซึ่งเรียกว่า "แม่แก้ว" นั่นเอง
    ไม่ใช่แม่ประเภทที่เรื่อยๆ เฉื่อยๆ อยู่นั่นแหละ เลี้ยงลูกแค่พอให้โตขึ้นมา แล้วต่างคนก็ต่างไป
    "ลูกเอ๊ย แม่รักลูกมาก เอากะลานี้ไปขอทานนะ ถ้าเป็นคนอื่นแม่ไม่ให้หรอก"
    หรือว่า "แม่รักลูกมาก แม่จึงสอนวิชาขโมยให้" อย่างนี้ไม่ใช่แม่แก้วแล้ว
    ส่วนผู้ที่เป็นลูกก็เหมือนกัน นอกจากจะทำตัวเป็นลูกที่ดี เชื่อฟังและทำตามที่คุณแม่ ได้อบรมสั่งสอนอย่างดีแล้ว ถ้าคุณแม่ของใครยังไม่ทำทาน ยังไม่รักษาศีล ยังไม่นั่งสมาธิ ก็ต้องพยายาม ที่จะทำให้ท่าน รักในการทำทาน รักษาศีล และนั่งสมาธิ จนกระทั่งท่านเข้าถึงพระธรรมกายในตัวได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ลูกแก้วอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างกลับไปดูใจของตัวเองก็แล้วกัน ว่าเป็นแม่แก้ว หรือว่าเป็นลูกแก้ว กันหรือยัง
    Powered By Blogger


    กลอนวันแม่ภาษาอังกฤษ

    กลอนวันแม่ภาษาอังกฤษ

    How did you find the energy, MomTo do all the things you did,To be teacher, nurse and counselor
    To me, when I was a kid.
    How did you do it all, Mom,Be a chauffeur, cook and friend,Yet find time to be a playmate,I just can’t comprehend.
    I see now it was love, MomThat made you come whenever I’d call,Your inexhaustible love, MomAnd I thank you for it all.
    กลอนวันแม่ 12 สิงหาคม
    A mothers like a ray of sunshineWhose heart is just pure gold.A mother beams with happinessthat’ll never grow old.She’ll stay in my heart foreverAs if she were insideWe’ve shared so many things,We laughed, we smiled, we cried.I love my mother very muchand still throughout the yearsWe share the mother daughter love,and always when I fear,I know I’ll always have my mothersomewhere very near!
    สิงหาคม 10th, 2010“มาลัยอักษรา” บูชาแม่

    สัจจาภรณ์ ไวจรรยา poohkan(ผู้แต่ง)
    โอ้ละเห่-ฟูมฟัก…ด้วยรักเจ้าเมื่อยามเยาว์แม่ถนอมกล่อมจอมขวัญเอื้ออาทร-ร้อนร้าย แม่คลายพลันภัยกางกั้นแม่กล้าฟันฝ่าไป
    หวังเพียงแค่ “คนดี” ที่แม่รักจะมีหลักอนาคตที่สดใสยอมลำบากยากเย็นทุกข์เข็ญใจด้วยสายใยรักแน่น ไม่แคลนคลอน
    แม่จ๋า…ล้านความรักจากใครเขาหลอมรวมเข้าอาจแกร่งยิ่งดั่งสิงขรแต่… “รัก” หญิงที่ขนานนาม “มารดร”แกร่งแน่นอน..กว่าสิ่งใดในโลกา
    แม่จ๋า…แม่คือหญิงที่ยิ่งใหญ่เหนือเทพไท้ ทั้งสามภพจบทั่วหล้าพระคุณล้นเกินรำพันจำนรรจาพรรณนาเทียบได้…ไม่เพียงพอ
    จะหาทิพย์จากสวรรค์ ณ ชั้นสรวงกรองเป็นพวงแทนพลอย…ทำสร้อยศอหรือหยิบดาวพราวฟ้ามาทักทอแทนป่านปอ….เป็นของขวัญ…นั้นด้อยไป
    โอ้ละเห่..ที่ฟูมฟัก “ลูกรักแม่” สัญญาแน่..เป็นคนดีมิเผลอไผลเพื่อทดแทนคุณความรัก…จากดวงใจกราบด้วย “มาลัยอักษรา” บูชาเอย
    สิงหาคม 10th, 2010อุ่นไอรัก…จากแม่

    สัจจาภรณ์ ไวจรรยา poohkan(ผู้แต่ง)
    กลิ่นความรักหอมนวลอวลไออุ่นมือละมุนเนียนนุ่มอุ้มโอบขวัญทะนุถนอมตระกรองกอดยอดชีวันประครองป้องผองภยันอันตราย
    กี่สิบถ้อยร้อยคำรำพันพรอดที่ถ่ายทอด “คำรัก” หลากความหมายกี่เปรียบเปรยสรรหามาบรรยายฤาเทียบสายใยรักจาก…มารดา
    ครั้งที่ลูกยังเป็นเด็ก เล็กเล็กอยู่แม่คือ “ครู” สอนอ่านเขียนเรียนภาษาให้คำเตือน…เสมือนแสงแห่งปัญญาให้วิชาคือ “รู้คิด” ที่ติดตน
    ยามลูกเหนื่อยอนาทรแสนอ่อนล้าต้องการคำปรึกษาหาเหตุผลแล้วหันมองรอบกาย…คล้ายมืดมนยังพบคนหนึ่ง…คือแม่…คอยแลมอง
    แม่จ๋า…แม่คือยอดสตรีที่ประเสริฐแม่…เลอเลิศหนึ่งในใจไม่เป็นสองแม่…สูงค่ากว่าหยาดเพชรเกร็ดสีทองเกินยกย่องด้วยล้านคำ…พร่ำพรรณนา
    หอมกลิ่นความรักนวลอวลไออุ่นระลึกคุณ แม่โอบอุ้มคุ้มเกศามือของลูกจึงเรียงร้อยถ้อยวาจาเป็นมาลาหอม “รัก” กราบจากใจ
    แม่…หญิงยอดคน

    สัจจาภรณ์ ไวจรรยา poohkan(ผู้แต่ง)
    กรองวจีเรียงถ้อยร้อยความรักบรรจงถักคำหวานผ่านอักษรแทน“มาลามะลิ”สวย…ด้วยบทกลอนกราบ “มารดร” ด้วยรักมั่น “กตัญญุตา”
    หากค้นหาความรักจากทุกภพหลอมบรรจบเป็นรักที่มากค่า“รักของแม่” แม้ล้านคำพร่ำพรรณนามิอาจหาเปรยเปรียบเทียบทดแทน
    ลูกกี่คน… “แม่” เลี้ยง-รัก…ไม่พัก-ผ่อนถึงเดือดร้อน…เหนื่อยยากลำบากแสนให้ลูกอิ่ม…แม้อัตคัดจนขาดแคลนจะแร้นแค้น…ซูบเพียงกาย…รักไม่จาง
    ชีวิตลูกที่ดำเนินเดินถูกต้องเพราะแม่ประคับประคองไม่เหินห่างยามลูกเดินหลงทิศ…ผิดเส้นทางแม่คือเทียนส่องสว่าง…กลางดวงใจ
    แม่จ๋า…แม่พร่ำสอน…คือพรประเสริฐเป็น “พร” เลิศผ่องพิสุทธิ์ดุจแก้วใสด้วยไม่มีเคลือบแคลงแฝงเภทภัยลูกจดจำ…รำลึกไว้…ใช้เตือนตน
    กรองวจีเรียงถ้อยร้อยความรักบรรจงถักเป็น”สร้อยคำ”…ที่งามล้นสื่ออักษรกลอน “รัก” จากกมลบูชา “แม่”…”หญิงยอดคน”…หนึ่งในใจ
    ของขวัญจากลูก
    สัจจาภรณ์ ไวจรรยา poohkan(ผู้แต่ง)
    มะลิหอมน้อมวางข้างข้างตักกรุ่นกลิ่น “รัก” บริสุทธิ์ผุดผ่องใสแทนทุกคำทุกถ้อยร้อยจากใจเป็นมาลัย “กราบแม่” พร้อมน้อมบูชา
    กี่พระคุณจากใครอื่นนับหมื่นแสนอาจทนแทนเปรยเปรียบเทียบคุณค่าแต่พระคุณ“หนึ่งหยดน้ำนมมารดา”ทั้งสามภพจบหล้า…หาเทียมทัน
    ลูกไม่อาจเอ่ยแสดงแถลงถ้อยหรือเรียงร้อยพจนามาเสกสรรค์เพื่อบรรยายพระคุณนี้ที่ “อนันต์”จึงตั้งมั่น “กตัญญุตา” ตลอดไป
    หนึ่งคำ “รัก” ลูกรักแม่ แม้ค่าน้อยต่างเพชรพลอย ตีราคาค่ามิได้แต่แม่จ๋า… “รักที่หนึ่ง” ของหัวใจมิใช่ใคร “ลูก รัก แม่” แน่นิรันดร์

    มุมมองแบบไดนามิก ธีม. ขับเคลื่อนโดย Blogger.